เรื่องต้นไม้สีเลือด ลูกไฟสีขาวนวล


ครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวผมเอง จากการที่ได้เดินทางไปค้างแรมยังป่าโปร่งแห่งหนึ่ง ของจังหวัดตาก (ขออนุญาตสงวนนามสถานที่..) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดฝัน ต่อหน้าวงสนทนาในยามค่ำคืน จนนำไปสู่การหวนกลับมาเยือน...เพื่อการพิสูจน์อีกครั้ง....
ป่า...ขึ้นชื่อว่า...ป่า...ไม่ว่าจะเป็น..ป่าดงดิบ ป่าทึบ หรือป่าโปร่ง...ล้วนแต่มีอาถรรพ์ หรือพลังแห่งธรรมชาติแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ เช่นเดียวกับตัวผม ที่ได้เผชิญอาถรรพ์แห่ง...ป่าโปร่ง...ครั้งนี้

ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๘ ช่วงแห่งเทศกาลการเดินทางท่องเที่ยว กับการหลบลี้หนีผู้คน เนื่องจากในสถานที่แหล่งท่องเที่ยวหลักของหลายๆอุทยาน ล้วนคราคร่ำไปด้วยผู้คน เต็นท์เล็ก เต็นท์ใหญ่ สะท้อนแสงหลากสีละลานตา กับผู้คนมาจากหลากหลายทิศทาง ผมกับสหายผู้รู้ใจรวมสองคน จึงตกลงกันไปหาพักค้างคืนยังสถานที่ ที่เราไม่เคยไปเยือนเลย ซึ่งเป็นหน่วยพิทักษ์ป่า หน่วยย่อยของอุทยานแห่งชาติแห่งหนึ่งของจังหวัดตาก


เส้นทางจากถนนหลักสายตาก - แม่สอด เราเลี้ยวซ้ายเข้าไปยังที่หมาย ไปตามถนนลูกรังฝุ่น บางช่วงของเส้นทางเป็นหลุมเป็นบ่อ ผ่านไร่สตรอเบอรี่ ไร่เกษตรกรรมและตัดผ่านกลางหมู่บ้านชาวเขาหลายหมู่บ้าน...จนกระทั่งมาถึงที่หมายเวลาราวๆบ่ายห้าโมงเย็น ทันทีที่ได้สัมผัสบรรยากาศ...อากาศหนาวเย็นจับใจทีเดียว ไม่น่าแปลกเลย...มีเพียงเราคณะเดียว รถคันเดียว ในสถานที่แห่งนี้ (สมใจหมาย) ดื่มด่ำกับสภาพบรรยากาศแบบ..ป่า..ขุนเขา..เสียงไก่ป่ากู่ขันร้องรับกันระหว่างช่วงหุบเขา ธรรมชาติรายล้อมยังคงความเขียวขจี ต้นไม้ใหญ่บริเวณที่เราพัก ขึ้นยืนต้นห่างกันได้ระยะพอดี ไม่หนาทึบ เข้าลักษณะแบบ..ป่าโปร่ง ประกอบกับลมหนาวพัดกรรโชกมาเป็นระยะและต่อเนื่องตลอด นำพาความหนาวเหน็บตามติดมาด้วยทุกครั้ง


รีบจัดการกับสถานที่พัก จอดรถบังทิศทางลม..กันหนาว อันดับแรกเลย..จัดการก่อไฟในเตาถ่านที่หิ้วมาด้วย ลมแรงมาก ทำเอาถ่านที่ติดไฟแล้วมอดดับเร็วมาก ต้องคอยเติมถ่านตลอด จังหวะกำลังนั่งผิงไฟคลายหนาวสุนัข...สีน้ำตาล..วิ่งเข้ามาใกล้ ลักษณะเป็นสุนัขพันธุ์พื้นบ้านอาจจะมาจากหมู่บ้านที่เราขับผ่านมา ทำท่าจดๆจ้องๆอยู่ คงจะดูท่าทีของแขกผู้มาเยือน พอดีมีอาหารห่อติดมาด้วย เลยโยนแบ่งปันให้มันนิดหน่อย ทำเอามันคุ้นเคย นั่ง นอนหมอบอยู่ใกล้ๆ ไม่ยอมไปไหน ก็เลยตั้งชื่อให้ซะ....เจ้าน้ำตาล ตามลักษณะสีของมัน
กำลังนั่งชมบรรยากาศเพลินๆ จู่ๆ..เจ้าน้ำตาล ซึ่งนอนหมอบอยู่ข้างๆ ก็หุนหันพลันแล่น ลุกขึ้นวิ่งไปยัง..โคนต้นไม้..ต้นหนึ่งบริเวณนั้น มีลักษณะเป็นต้นไม้ลำต้นขนาดกลาง เป็นไม้ที่ขึ้นอยู่ตามป่าเขาทั่วไป ไม่รู้จักชื่อ สูงพอประมาณ ขึ้นอยู่โดดเดี่ยวใกล้ๆที่พักของเรา มันเห่าแบบขู่ลดตัวกึ่งหมอบ ถอยเข้าถอยออก ทำอยู่อย่างนั้นนานพอประมาณกินเวลาหลายนาที เหมือนมันเจออะไรอยู่ใต้โคนต้นไม้นั้น มองตามไปดูก็ไม่เห็นมีอะไรเคลื่อนไหว จึงลุกไปดูว่ามีอะไร หรือตัวอะไรอยู่โคนต้นไม้ ในใจคิดว่าอาจจะเป็น..งู จึงหยิบได้ไม้แห้งท่อนหนึ่ง เผื่อได้ใช้ไล่งู..ป้องกันตัว ค่อยๆย่องเบาเข้าไปใกล้ๆ เจ้าน้ำตาลก็ยังทำกิริยาแบบเดิม หนำซ้ำยังเห่าขู่ดังยิ่งกว่าเดิมอีก เหมือนกับว่าเราเนี่ย มาช่วยมันอีกแรง ได้ใจใหญ่...ฉลาดนะ..เจ้าเนี่ย เดินเข้าไปใกล้...เอ๊ะ...! แปลกใจ ไม่เห็นมีอะไร จึงเดินอ้อมตรวจดู ก็ไม่เห็นมีอะไร รูหรือโพรงก็ไม่มี หญ้าก็เรียบโปร่ง..มองเห็นผิวดิน ไม่มีบัง มันก็ยังเห่าไม่ยอมหยุด ...เอ...!.. เจ้าน้ำตาลมันหลอกเรารึเปล่า พลางนึกขันในใจ แต่อดที่จะคิดไม่ได้...ยามเย็นๆ ตะวันใกล้ที่จะตกดินแบบนี้....มันเห็นอะไร...

หลังจากวุ่นวายอยู่กับเจ้าน้ำตาลพักหนึ่ง กลับมาจัดแจงกับเสบียงอาหาร จัดการการกางโต๊ะปิกนิค นั่งรับลมชมวิว ตากอากาศให้เต็มที่ สำหรับผมชอบที่จะถอดเสื้อโต้ลมหนาว ปรับสภาพร่างกาย จนรู้สึกสบายตัวชินกับความหนาว เหลือบดูเวลาก็เคลื่อนคล้อยเข้าไปราวๆหนึ่งทุ่ม ยามนี้ไม่มีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้า มีก็เพียงแสงจากพระจันทร์ แสงสว่างจากเตาไฟถ่านและจากโคมไฟเดินป่าที่ติดตัวมาด้วย นั่งจิบน้ำดีกรีเค้าคลอด้วยเสียงกีต้าร์ สลับกับการพูดคุยกันสัพเพเหระ ชมพระจันทร์บนฟ้ายามนี้ช่างสุกสว่างสดใส สีน้ำผึ้งงดงามมาก จนเวลาล่วงเลยมาประมาณสองทุ่มกว่าๆ พระจันทร์ขึ้นเฉียงเลยศรีษะ ในป่ายามนี้มืดสลัวๆแต่วังเวงจริงๆ ได้ยินก็เพียงเสียงลมพัดกับเสียงพูดคุยของเรา ส่วนเจ้าน้ำตาลก็นอนหมอบหลับอยู่ข้างๆ สบายซะจริงๆ
(กลุ่มแนวต้นไม้ที่เกิดปรากฏการณ์แสงสีแดงสด ลูกไฟประหลาด)
ทิศทางที่เรานั่งหันไปหาแนวกลุ่มไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่ตามขอบลานกางเต็นท์ที่หน่วยพิทักษ์อุทยานจัดไว้ให้ ...ขึ้นในระยะห่างกันพอประมาณ เป็นไม้ใหญ่ที่มีอยู่ตามป่าทั่วไป มีขนาดความสูงเต็มที่แล้ว ลำต้นใหญ่ประมาณหนึ่งคนโอบ คาดคะเนความสูงและความใหญ่ของลำต้น น่าจะพอๆกับไม้สักขนาดกลาง ขึ้นอยู่ห่างจากเราประมาณสามสิบเมตรเห็นจะได้ กำลังนั่งหันหน้ามองพอดี จู่ๆ....แสงไฟแบบสีแดงอมชมพูหรือคล้ายๆสีบานเย็นหรือสีเลือดสด ไม่ใช่สีแดงแบบที่เราพบเห็นทั่วไป สว่างขึ้นวาบแดงสด..เป็นแสงที่มีขนาดความกว้างคลุมกลุ่มแนวต้นไม้ที่ขึ้นห่างกันอยู่ประมาณสามต้นตั้งแต่แนวยอดไม้ลงมาถึงแนวพื้นดิน สว่างแดงเรื่อท่ามกลางความมืดค้างอยู่อย่างนั้นราวๆ ๖-๘ วินาทีเห็นจะได้
สายตาทั้งสองคู่หันหน้าไปในทิศทางที่เกิดปรากฏการณ์ต้นไม้สีเลือด...นั้นพอดี ต่างงุนงง..ตะลึง..เงียบ..หยุดการทำกิจกรรมรวมทั้งหยุดการพูดคุย เหลือบมองเจ้าน้ำตาล มันก็ยังนอนเป็นปกติ ไม่มีแสดงปฏิกิริยาใดๆ พอความมืดกลับคืนมาอีกครั้ง ผมพลางเอ่ยปากกับสหายที่ร่วมป่ากันในค่ำคืนนี้ เอ...! สงสัยเจ้าหน้าที่ป่าไม้คงจะมาดูหรือมาอำนวยความสะดวกเรา แต่...! แปลกแฮะ นั่งรอเจ้าหน้าที่ป่าไม้ มองไปตามแนวทางเดินที่ติดกับแนวต้นไม้ที่เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาด ไม่เห็นมีใครเดินมาซักคน พร้อมกับอดสงสัยไม่ได้ว่า...ถ้าเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาจริงๆ ใช้ไฟอะไรนำทางถึงมีสีและสว่างเป็นวงกว้างแบบนั้น ความเงียบกลับมาครอบงำเหมือนเดิม...ไม่มีใครมาเยือน..ทิ้งความสงสัยให้เราเฝ้ามองติดตามอีก

นั่งครุ่นคิด...พร้อมกับพากันจ้องไปยังแนวกลุ่มต้นไม้แหล่งกำเนิดปรากฏการณ์ประหลาดอย่างไม่ลดละสายตา เวลาผ่านไปราวๆสองนาที ปรากฏการณ์เดิมก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แสงสีแดงสดแบบเดิมแผ่ขยายขึ้นคลุมแนวต้นไม้ใหญ่สามต้นกลุ่มเดิม ผมพยายามมองหาแหล่งกำเนิดของแสงประหลาดนั้น มันโผล่วาบขึ้นรวดเร็วมาก จนหาที่มาของแหล่งกำเนิดไม่ได้ ไม่ทราบว่ามันมาจากทิศทางใดหรือต้นกำเนิดอยู่ ณ จุดใด พลัน..ทันใดนั้นเอง....ปรากฏ..ลูกแสงแห่งดวงไฟ..ลักษณะเป็นวงกลมสีขาวนวล ขนาดประมาณลูกกะลามะพร้าวน้ำหอม จำนวน ๑ ดวง ลอยไปมา จากต้นไม้ต้นหนึ่ง เคลื่อนที่ลอยไปมาระหว่างต้นไม้อื่นๆที่ถูกแสงสีแดงสดแผ่ปกคลุม โดยไม่ออกจากแนวแสงสีแดงสดนั้นเลยและลอยอยู่ไปมาเฉพาะลำต้นเท่านั้น ปรากฏการณ์แบบนี้กินเวลานานประมาณเท่าเวลาเดิม กับที่เกิดขึ้นครั้งแรกหรือราวๆ ๖-๘ วินาที
"เอ็งเห็นเหมือนที่ข้าเห็นหรือเปล่าวะ" ยิงคำถาม ถามเพื่อนร่วมป่าแห่งค่ำคืนนี้ ...."ข้าง่วงนอนแล้วว่ะ..." เสียงตอบกลับจากสหาย จากนั้นเพื่อนเราจึงผละลุกเดินจากไป เปิดประตูเข้าไปหลบนอนในรถ มารู้ทีหลังตอนรุ่งเช้า...เพื่อนบอกว่า...ในป่า..ผู้เฒ่าผู้แก่บอก..เห็นอะไรห้ามพูดห้ามทัก ก็เลยตอบไปอย่างนั้น.."ข้าก็กลัวเหมือนกันแหละ"....เพื่อนเอ่ยตอบกลับ....

หลังจากที่เพื่อนผมผละหลบไปตั้งหลักอยู่ในรถ ทิ้งให้ผมนั่งอยู่คนเดียวแบบเสียววาบๆเหมือนกัน แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงข่มจิตข่มใจไม่ให้กลัว อดทนนั่งอยู่คนเดียวสายตาทั้งคู่มองจดจ้องไปยังที่เดิม แนวต้นไม้สีเลือด เจ้าน้ำตาล...ก็ยังคงนอนอยู่ข้างเตาถ่าน หลับสบายเลย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่งอยู่คนเดียว เครื่องรางในคอก็ไม่มี สร้อยพระเครื่องก็ถอดวางไว้ที่คอนโซลหน้ารถ เว้นช่วงเวลาไม่นานนัก ราวๆซักประมาณสี่นาทีเห็นจะได้ หลังจากเกิดปรากฏการณ์ต้นไม้สีเลือดครั้งที่สองพร้อมกับดวงไฟสีขาวนวล แนวต้นไม้กลุ่มเดิมก็เกิดแสงสีแดงสดแบบเดิม...วาบขึ้นมาทันที..อีกครั้ง...ไม่มีเสียงผิดปกติใดๆเช่นเดิม ไม่มีดวงไฟสีขาวนวล มีเพียงแสงสีแดงสดเท่านั้น เพ่งมองอยู่นานกินเวลาประมาณเท่าเดิม ๖-๘ วินาที จึงอันตรธานหายไป เหลือแต่ความมืด หากมีอะไรเดินออกมา เห็นทีต้องเปิดแนบขึ้นรถเหมือนกัน เตรียมประตูรถเแง้มไว้รออยู่แล้ว..
ความมืด ความวังเวงกลับมาเยือน ไม่มีเสียงผิดปกติใดๆ กลุ่มหมู่ดาวเริ่มปรากฏเต็มท้องฟ้าตามแนวกลุ่มก๊าซของทางช้างเผือก ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ แต่ก็ยังเฝ้ารอคอยมองอีกครั้ง จนเวลาล่วงเลยมาสี่ทุ่มกว่าๆ ...เห็นทีจะต้องเข้าไปนอนในรถซะแล้ว จัดการเติมถ่านให้เต็มเตา ..หวังว่า..เจ้าน้ำตาลคงอยู่เป็นเพื่อนเราตลอดคืนนะ ...ก่อไฟให้แล้ว...
กลับเข้ามานอนในรถ จังหวะทิศทางของหัวรถหันไปยังทิศทางที่เกิดปรากฏการณ์ต้นไม้สีเลือดพอดี ปรับเอนเบาะเล็กน้อย ตาจ้องเฝ้ามอง.....เผื่อจะได้พบเจออะไรแปลกๆอีก ...จนเวลาล่วงเลยไปเกือบตีหนึ่ง ทุกอย่างปกติ....เผลอหลับไปในที่สุด

รุ่งเช้า..แสงสีทองของพระอาทิตย์ขึ้น ส่องกระทบใบหน้าราวๆเกือบหกโมงเช้า ตื่นขึ้นมา..มองสอดส่ายหาความผิดปกติก่อนจะก้าวลงจากรถ..เจ้าน้ำตาลโผเข้าหา ออกอาการส่ายหางไปมาด้วยความดีใจ แหม..! เจอกันวันเดียวคุ้นเคยดีจังนะเอ็ง...สำรวจพื้นที่...ทุกอย่างเป็นปกติ เตาถ่านเหลือเพียงขี้เถ้า ...หลังจัดการกับกาแฟร้อนๆ ก่อนจะตามด้วยมื้อเช้า ยามสายพอประมาณจัดการเก็บข้าวของเตรียมตัวเดินทางกลับ เดินสำรวจเก็บภาพถ่ายอีกครั้ง พร้อมกับเดินไปสำรวจยังจุดกำเนิดปรากฏการณ์ต้นไม้สีเลือดเมื่อคืน ทุกอย่างปกติ ไม่มีร่องรอยผิดปกติอะไร รอยกองไฟก็ไม่มี รอยเหยียบย่ำก็ไม่มี พบว่าเป็นกลุ่มต้นไม้ป่าทั่วไป สูงชัน ขนาดลำต้นและความสูงพอๆกับต้นไม้สักขนาดกลาง ขึ้นอยู่บนเนินดิน ฐานรากมีหญ้าคลุมผิวดินมองเห็นหน้าดิน ทุกอย่างเป็นปกติ สำรวจอยู่นานจนพอใจ ไม่พบสิ่งใดบ่งบอกถึงความผิดปกติ จึงเดินทางกลับ....พร้อมเอ่ยในใจ.."ผมกลับล่ะนะครับ"เป็นการบอกกล่าวในใจเพื่อเป็นการแสดงความเคารพ

กลับมา...เล่าเรื่องราวเหตุการณ์แปลกประหลาด เรื่องต้นไม้สีเลือด ลูกไฟสีขาวนวล ให้ชาวคณะในตัวเมืองตากฟัง พร้อมกับเอะใจ เอ....!ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ในวันค่ำคืนนั้น ตรวจดูปฏิทินถึงกับตกใจ....มันตรงกับวันพระใหญ่ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ตามความเชื่อเรื่องวันโกน....วันพระ ผมจึงอยากกลับมาพิสูจน์อีกครั้ง.....

หลังจากตกลงปลงใจที่จะหวนกลับมาพิสูจน์อีกครั้ง แต่ไม่ได้เป็นไปด้วยเจตนาลบหลู่หรือท้าทาย คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างในหนังผีหรือที่เคยอ่านเคยฟังมา จึงอยากจะมาชมให้เป็นบุญอีกซักครั้ง พร้อมด้วยเพื่อนสมาชิกมาเป็นพยานเพิ่มอีกคน รวมเป็นสามคน รถขับเคลื่อนสี่ล้อจำนวนสองคัน ออกเดินทางในวันธรรมดา ไม่ใช่วันพระหรือวันโกน..
ครั้งนี้คณะเราทั้งสาม เดินทางมาถึงยามใกล้ค่ำ แล้วเข้าพักยังสถานที่เดิม ไม่มีนักเดินทางรายอื่นเลย นอกจากพวกเราสามคนเท่านั้น ส่วนผมเช่นเคย...จอดรถหันทิศทางเหมือนเดิม รถเพื่อนสมาชิกอีกคัน จอดหันหัวต่อท้ายด้วยระยะห่างพอประมาณ...อันดับแรกเช่นเดิมครับ จัดการให้ความอบอุ่นกับร่างกายด้วยการก่อไฟในเตาถ่าน ส่วนผมถอดเสื้ออาบลมห่มฟ้า ปรับสภาพร่างกายให้ชินกับความหนาวเย็นเช่นเคยทำเหมือนทุกป่า ระหว่างกำลังจัดแจงกับโต๊ะ เก้าอี้ เสบียงอาหาร เจ้าน้ำตาล..วิ่งไต่เขาขึ้นมา เห็นแต่ไกล พอมาถึงไม่รั้งรีรอ วิ่งตรงเข้ามาเคล้าคลอเคลีย กระดิกหางไปมา...มันยังจำได้ ราวกับคุ้นเคยกันมานาน แต่ครั้งนี้ทำตัวเป็นปกติแฮะ...รอกินอย่างเดียว ไม่หลอกเราเหมือนคราวที่แล้ว...

กลางวงสนทนาในยามค่ำคืนนี้ เราสนทนากันในเรื่องทั่วไป ไม่มีใครเอ่ยถึงเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ต้นไม้สีเลือด ลูกแสงไฟสีขาวนวลที่รอคอย..อาจจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ส่วนผมเองปากก็สนทนาไป พลางจิบน้ำดีกรีย้อมใจทีละนิด ส่วนสายตาก็พยายามแอบมองไปยังแนวกลุ่มต้นไม้ที่เคยเกิดเหตุต้นไม้สีเลือด จวบจนเวลาล่วงเลยปาเข้าไปเกือบห้าทุ่ม เหตุการณ์ทั่วไปเป็นปกติ เพื่อนสมาชิกแต่ละคน ขอตัวเข้าไปนอนในรถหลบหนาวทีละคน ผมจัดแจงเก็บข้าวของกันน้ำค้าง กันสัตว์ พร้อมกับเติมเชื้อไฟในเตาถ่านให้เจ้าน้ำตาลที่มานอนหลับเฝ้าเหมือนเช่นเคย....ก่อนจะหลบเข้านอนในรถ...เป็นลำดับท้ายสุด

เอนเบาะนอนในระดับที่ยังพอมองตรวจการณ์ไปข้างหน้าได้ ใจยังไม่อยากหลับแต่ด้วยความหนาวเหน็บ เหลือบดูนาฬิกาเวลาก็ราวๆเที่ยงคืนกว่าแล้ว สายตาจดจ้องมองไปยังแนวต้นไม้ที่เคยเกิดปรากฏการณ์ต้นไม้สีเลือด ลูกไฟสีขาวนวล ก่อนจะค่อยๆเคลิ้มคล้อยแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น คล้ายๆว่าตกอยู่ในภวังค์หรืออำนาจมนต์สะกดยังรู้ตัวเองว่ายังหลับไม่สนิททันใดนั้นเอง....จู่ๆก็มี....หญิงสาวทรวดทรงองเอวดี เดินออกมาจากแนวด้านหน้าของเนินต้นไม้กลุ่มนั้นลักษณะคล้ายๆว่าเดินแบบกึ่งลอยออกมา แบบไม่เห็นจังหวะการก้าวเท้า มองเห็นในระดับประมาณกลางหน้าขาขึ้นไป ส่วนแขนก็มองเห็นปรากฏเฉพาะช่วงกึ่งกลางแขนท่อนล่างเท่านั้น จังหวะการมาแบบเดินลอยทิ้งแขนข้างลำตัว นางนั้นเดินเข้ามาในระยะเกือบใกล้ด้านหน้ารถ ภายใต้แสงจันทร์แบบสลัวๆ แต่ก็สามารถมองเห็นได้ในระดับที่ถือว่าชัดเจนมาก ไม่น่ากลัวอย่างที่เคยรับรู้มา กลับดูว่ามีลักษณะสวยเกินคาด คงจะเป็น "นางไม้" อย่างที่หมู่พรานหหรือหมู่คนตัดไม้เคยเล่าสู่กันมาถึงความสวยงามของนาง
...เงียบ...เงียบกริบ...เจ้าน้ำตาลก็ไม่ส่งเสียงอะไรซักอย่าง คิดในใจว่า เอ..! มันคงวิ่งกลับบ้านไปนานแล้ว ....

นางไม้...นั้นย่างกรายใกล้เข้ามาด้านหน้าตัวรถ สังเกตุได้ชัดเจนถึงใบหน้าอันสวยงาม ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าที่เรียวเล็ก คางสอบ หวานแบบสาวเมืองเหนือ และไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด กลับชวนให้น่ามอง น่าหลงไหลเป็นอย่างยิ่ง ผมยาวสีดำสยายหลบลงพ้นบ่าไหล่ ผิวพรรณช่วงแขนลักษณะขาวนวล ..แปลก....การแต่งกายไม่เหมือนอย่างที่คาดไว้ อย่างที่เคยได้รับรู้ ได้เคยฟัง ได้เห็นตามภาพยนตร์ ว่า...เสื้อผ้าจะต้องขาดวิ่น เลอะเทอะเปรอะเปื้อนหรือนุ่งห่มโจงกระเบน พาดเฉียงด้วยสไบ แต่...นางนั้นสวมเสื้อยืดที่ดูทันสมัย ลักษณะแบบมีลายเส้นสีเหลืองสดตัดกับเนื้อผ้าสีขาวสะอาด ดูใหม่สดใสมาก สวมกางเกงขายาวสีทึบ คล้ายๆกับกางเกงยีนส์ทั่วไป ไม่มีเครื่องประดับหรืออาภรณ์ปรุงแต่งเพิ่มแต่อย่างใด
นางนั้นเดินมาหยุดตรงข้างตัวรถ ข้างกระจกประตูฝั่งด้านคนขับซึ่งผมกำลังนอนตัวแข็งทื่ออยู่ แบบที่เขาเรียกว่า..."ผีอำ"...หญิงสาวนางหันใบหน้ามามองผม ทำให้เห็นความสวยงามของนางได้ชัดเจน นึกในใจ อายุของนางหากเทียบกับคนทั่วไปแล้วน่าจะราวๆยี่สิบตอนปลายหรือประมาณสามสิบต้นๆ....."ไฟติ๊ดก่อจ๊าาาาววว..."เสียงอันกังวาน เอื้อนไพเราะเสนาะหู เป็นแบบสำเนียงภาษาถิ่นทางภาคเหนือหรือภาษาล้านนาคล้ายแบบเมืองเชียงใหม่ น้ำเสียงนั้นนุ่มนวล ลอยมาน่าชวนฟังมาก แต่แปลก...ไม่เห็นริมฝีปากของนางขยับเลย ประโยคที่นางเอ่ยทัก ซึ่งแปลความหมายตามภาษาทางภาคกลางหมายความว่า...ไฟติดหรือเปล่า......ทำให้ผมคิดถึงเตาถ่าน คิดถึงเจ้าน้ำตาลขึ้นมาทันที..สงสัยไฟมอดหมดแล้วหรือ...หรือว่านางเป็นห่วงเรื่องความหนาวเหน็บของสภาพบรรยากาศ.... 

เอ่ย..กล่าวทักทายผมเพียงประโยคเดียวด้วยน้ำเสียงอันเป็นมิตรไมตรี จากนั้น..นางจึงเดินผละจากไปทางด้านท้ายรถซึ่งมีรถเพื่อนสมาชิกอีกคันจอดต่อท้าย สักพักได้ยินเสียงเพื่อนสมาชิกที่นอนในรถอีกคัน ส่งเสียงแบบอึกๆอักๆ ไม่เป็นภาษา ผมจึงพยายามเอื้อมแขนเพื่อที่จะไปหยิบพระเครื่องที่วางอยู่คอนโซลด้านหน้ารถ แต่ก็ยังขยับตัวไม่ได้ สักครู่นางก็ปรากฏกายอีกครั้ง ตำแหน่งด้านซ้ายของรถผมด้านกระจกประตูผู้โดยสาร พร้อมกับหันหน้าเข้ามา ก่อนจะเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงสำเนียงเดิมว่า..."มาจากไหนจ๊าาาววว...." ใจอยากจะตอบแต่ตอบไม่ได้เลย เอ่ยริมฝีปากตะโกนก็ไม่ได้ จากนั้นนางก็ผละ เดินไปด้านหน้ารถ เดินลอยหันหน้ากลับไปยังทิศทางที่ผ่านเข้ามา ก่อนจะหายวับไป....

ตะลึงอยู่สักพักกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนจะเริ่มรู้สึกตัว ขยับแขนขาได้ สภาพบรรยากาศเงียบ วังเวงเป็นปกติ ลมพัดโชยในบางช่วง สองใบหูพยายามฟังเสียงแปลกผิดปกติ ....เงียบ...ไม่มีเสียงใดๆ เหลือบมองข้างรถ เตาถ่านมอดแล้ว โอ้...เจ้าน้ำตาลยังอยู่ ลักษณะหลับสนิทสบายอารมณ์มาก...แต่เราก็ยังไม่กล้าก้าวลงจากรถ นึกทบทวนเหตุการณ์อยู่พักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจเอนเบาะเอนกายนอน ...คิดว่าไม่มีอะไรที่จะน่ากลัวแล้ว พรุ่งนี้เช้าค่อยสอบถามเรื่องราวจากเพื่อนสมาชิกคนอื่นๆ....

ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ปาเข้าไปเจ็ดโมงกว่า เพื่อนสมาชิกคนอื่นตื่นกัน นั่งผิงไฟข้างเตากันหมดแล้ว เหลือเราคนเดียว จะว่าตื่นสายเพราะหลับดึกกับเหตุการณ์เมื่อคืนก็ว่าได้ ...ก้าวเท้าลงจากรถ ทำตัวเป็นปกติ ก่อนจะหันมานั่งชงกาแฟร้อนๆกลั้วคอก่อน ยังไม่เล่าเรื่อง ไม่สอบถามเรื่องราวใดๆจากเพื่อนสมาชิก คอยดูท่าทีไปก่อน จวบจนกระทั่งย่างเข้าเกือบสิบโมงเช้า จึงตัดสินใจบอกเรื่องราว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเราเมื่อคืน พร้อมสอบถามเรื่องราวจากเพื่อนสมาชิก ...ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า....ปกติ หลับสบายเป็นปกติ...อ้าววว...! นี่เราโดนคนเดียวหรือว่าเรารับรู้ได้คนเดียวเหรอเนี่ย....

หลังฟังเรื่องราวจากผมเล่าแบบสดๆร้อนๆ ก่อนเพื่อนสมาชิกจะช่วยกันเก็บข้าวของ เตรียมตัวกลับ ส่วนผมผละตัวขอเดินไปสำรวจแนวต้้นไม้เดิมอีกครั้ง พร้อมกับสำรวจรอบๆตัวรถ รอบๆบริเวณ ทุกอย่างเป็นปกติ ...เอ...! สงสัยจะขออนุญาตกลับมาสัมผัสใหม่อีกซักครั้ง......

ความคิดเห็น