สิวอุดตัน
สิวอุดตัน นับว่าเป็นสิวที่สร้างความกวนใจต่อผู้ที่ต้องเผชิญอยู่ไม่น้อย เพราะสิวอุดตันคือสิวที่พบได้มากที่สุด ซึ่งมันจะผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเราและสร้างความรำคาญใจให้กับเจ้าของใบหน้า เพราะมันทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน ขรุขระเป็นตุ่มเป็นเนิน แม้ว่าสิวชนิดนี้จะดูสงบเสงี่ยมเจียมตัวไม่สร้างความเจ็บปวด แต่มันก็ดื้อด้านพอสมควร ไม่มีทางหายไปได้เอง พูดง่าย ๆ ว่าถ้าไม่รีบกำจัดออกมันก็จะยิ่งอัดแน่นในรูขุมขุมขนและอาจลุกลามจนเกินเยียวยา จนเข้าขั้นเป็นสิวโคม่าเลยทีเดียว
พึงระลึกไว้เถอะว่าถ้าสิวอุดตันฝังอยู่บนหน้าเรานานแค่ไหน ยามที่เราเอามันออกมามันจะทิ้งหลุมลึกไว้ (ลึกตามระยะเวลาที่มันสิงสถิตอยู่บนใบหน้าของเรา) แถมรูขุมขนก็ใหญ่ขึ้นตามขนาดของเม็ดสิวอีกด้วย เรียกได้ว่า เจ้าสิวอุดตันนี่แหละที่เป็นตัวการสำคัญทำให้ผิวหน้าที่เคยเรียบเนียนของเราต้องกลายเป็นหลุมเป็นบ่อแบบพระจันทร์
ชนิดของสิวอุดตัน
- สิวอุดตันชนิดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า(Microcomedone) โดยธรรมชาติของมนุษย์เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น จะเริ่มมีการสร้างฮอร์โมนที่เรียกว่าแอนโดรเจน ต่อมไขมันจะเริ่มตอบสนองต่อฮอร์โมนตัวนี้ ทำให้มีการหลั่งไขมันมากขึ้น นอกจากนี้แอนโดรเจนยังไปกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ชั้นขี้ไคลของรูขุมขนได้ด้วย จนทำให้เกิดลักษณะที่เรียกว่า “ไมโครโคมีโดน” ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวทั้งหลาย ซึ่งไมโครโคมีโดนนี้อาจจะหายไปได้เองหรือพัฒนาต่อไปกลายเป็นสิวลักษณะอื่น ๆ ได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยร่วมบางอย่าง เช่น หากมีการสะสมของไขมันและเซลล์ชั้นขี้ไคลมากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้เกิดสิวอุดตันหัวเปิดหรือสิวอุดตันหัวปิด แต่ถ้ามีแบคทีเรีย P. acne ก็จะกลายเป็นสิวอักเสบ
- สิวอุดตันหัวเปิด (Open comedone) ชนิดนี้จะมีหัวสีดำ หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สิวหัวดำ” (Black head) สิวแบบนี้เราสามารถบีบหรือกดมันออกได้ แต่ต้องทำอย่างถูกวิธี เพราะไม่อย่างนั้นจะทำให้เกิดการอักเสบจนกลายเป็นสิวอักเสบได้ โดยสิวหัวดำจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็กน้อย มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 0.1-3 มิลลิเมตร หากสังเกตดี ๆ จะมีจุดดำอยู่ตรงกลาง ซึ่งจุดเหล่านี้เป็นกลุ่มเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ไขมัน และเชื้อ P. acne ที่อุดอยู่ในท่อเปิดของต่อมไขมัน
- สิวอุดตันหัวปิด (Closed comedone) ชนิดนี้จะมีลักษณะเป็น “สิวหัวขาว” (White head) สิวประเภทนี้จะไม่มีหัวให้เรากดออก แล้วถ้าเรายิ่งไปกดไปบีบไขมันที่ไม่มีทางออกจะทะลักกลับไปในผิว ทำให้เนื้อเยื่อเสียหายได้ โดยจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็กน้อย มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.1-3 มิลลิเมตร มีสีเดียวกับผิวหนังปกติ สิวชนิดนี้จะเกิดจากการอุดตันสะสมอยู่ในท่อเปิดของต่อมไขมันและรูขุมขน แต่ท่อเปิดจะเล็กมากจนมองไม่เห็น และสิวหัวปิดขนาดใหญ่อาจอยู่ได้นานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน และประมาณ 75% ของสิวชนิดนี้จะกลายไปเป็นสิวอักเสบ
สาเหตุการเกิดสิวอุดตัน
หลายคนสงสัยว่าเจ้าสิวอุดตันนั้นมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เป็นเพราะเราสกปรกเกินไปอย่างนั้นหรือ จริง ๆ แล้วเจ้าสิวอุดตันนั้นมีสาเหตุมาจากต่อมไขมันทำการสร้างน้ำมันมากเกินไปนั่นเอง โดยสิ่งที่ควบคุมการผลิตน้ำมันบนใบหน้าก็คือ ฮอร์โมนแอนโดรเจน (androgen) เมื่อเจ้าต่อมนี้ผลิตน้ำมันออกมาเยอะจนเหลือใช้แล้วตกค้างอยู่ในรูขุมขน มันก็จะไปรวมตัวกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว เหตุนี้เองจึงทำให้น้ำมันนั้นข้นหนืดจนระบายออกไปไม่ได้ แต่ส่วนที่ระบายออกมาได้เราก็จะสังเกตได้ด้วยตาเปล่าเลยว่าหน้าจะมันแผล็บหรือเยิ้มไปด้วยน้ำมัน แล้วเวลาที่หน้ามันมาก ๆ จึงทำให้บางคนหันมาใช้กระดาษซับมันซับหน้าทั้งวัน เพราะคิดว่าเป็นการแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดที่จะช่วยกำจัดความมันออกไปได้ แต่รู้มั้ยว่าการทำแบบนี้จะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ถ้าเลี่ยงได้ก็ขอให้เลี่ยงเถอะ
ถ้าพูดถึงฮอร์โมน เราจะไปโทษฮอร์โมนอย่างเดียวก็ดูจะไม่เป็นธรรมนัก เพราะนอกจากสาเหตุนี้ที่ทำให้เกิดสิวอุดตันแล้ว ก็ยังมีเรื่องอื่น ๆ อีก ที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวอุดตันขึ้นมาได้ เช่น เรื่องของความเครียด ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงในช่วงใกล้หมดประจำเดือน การแพ้เครื่องสำอาง ปัญหาผิวแพ้ง่าย การล้างหน้าไม่สะอาด จากยาสเตียรอยด์ หรือรับประทานยา Prednislone เป็นประจำ เป็นต้น
วิธีกําจัดสิวอุดตัน
- ดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความสะอาดบนใบหน้า เลือกใช้เครื่องสำอางให้เหมาะกับสภาพผิว เพราะความสกปรกที่เกิดขึ้นมาจากความไม่ตั้งใจของเรา ไม่ว่าจะเป็นการลืมล้างมือแล้วเอามือไปสัมผัสใบหน้า หรือบางคนมีผิวหน้าบอบบางแพ้ง่าย แต่ยังใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม เหล่านี้อาจเป็นตัวการทำให้เกิดสิวได้ เลี่ยงการสัมผัส เช็ดถูหน้า หรือนวดหน้าแรง ๆ พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ ดื่มน้ำให้มาก ๆ ในแต่ละวัน เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ งดอาหารที่มีไขมันสูง หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีมลพิษมาก ๆ และสถานที่อับชื้น ฯลฯ หากรักษาตามวิธีด้านล่างแล้วแต่ยังไม่ได้ผล แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังจะดีที่สุด เนื่องจากสิวอาจเกิดมาจากกรรมพันธุ์ก็ได้
- หลีกเลี่ยงแสงแดด แสงแดดเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวหน้าที่เป็นสิวอยู่แล้วเผชิญกับภาวะที่รุนแรงมากขึ้น หากเราไม่ป้องกันแสงแดดที่จะกระทบต่อผิวหน้าของเราโดยตรง โดยในระหว่างการใช้ยาทารักษาสิวอุดตันเราจำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะผลิตภัณฑ์รักษาสิวส่วนใหญ่นั้นมักมีผลทำให้ผิวหน้าไวต่อแสง และที่สำคัญอย่าลืมล้างครีมกันแดดออกให้สะอาดหมดจดด้วยล่ะ เพราะไม่อย่างนั้นมันจะเกิดการอุดตันซ้ำซ้อนบนใบหน้าของเราได้จนรักษาไม่จบไม่สิ้นสักที
- ควบคุมความมันบนใบหน้า เมื่อเราผ่านขั้นตอนการกำจัดสิวอุดตันออกมาจากผิวได้แล้ว สิ่งที่ควรทำอีกอย่างก็คือ ควรลดน้ำมันบนใบหน้าควบคู่ไปด้วย และอย่าให้อะไรมาอุดตันรูขุมขนของเราได้ ถ้าผิวหน้าไม่แพ้ AHA และ BHA เราอาจใช้ผลิตภัณฑ์ทั้งสองตัวนี้เป็นประจำเพื่อช่วยในการป้องกันการเกิดสิวได้
- ใช้เบนซอยล์เพอร์ออกไซด์ หรือ เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide – BP) หรือ ยาบีพี (สามารถช่วยลดสิวอุดตันได้ในระดับปานกลาง) มีอยู่หลายยี่ห้อด้วยกัน เช่น Benzac AC, Enzoxid, Brevoxyl(Water based), PanOxyl (Alcohol based), ACNEXYL(เนื้อเจล) เพียงแค่คุณนำมาใช้ทาให้ทั่วหน้าก่อนการล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ทั้งเช้าและเย็นหรือก่อนนอน โดยให้ทาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ยาประเภทนี้จะออกฤทธิ์ไปลดปริมาณไขมันที่ผิวหนังและช่วยละลายสิ่งสกปรกที่อุดตันตามรูขุมขน จึงช่วยลดการอุดตันของต่อมไขมันได้ สำหรับผู้เริ่มใช้ควรใช้ที่ขนาดความเข้มข้นต่ำก่อนนะครับ หรือขนาด 2.5% เมื่อผิวเริ่มชินกับยาแล้ว จึงค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาการทาให้นานขึ้น และเพิ่มความเข้มข้นของยาเป็น 5% หรือ 10% ไขมันที่อุดตันก็จะถูกละลาย และสามารถกดออกมาได้โดยง่าย
- ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) หรือ ยาละลายสิวอุดตัน เป็นสารสกัดจากอนุพันธ์ของวิตามินเอ (สามารถลดสิวอุดตันได้ในระดับดี) มีสรรพคุณช่วยละลายไขมันที่อุดตันให้อ่อนตัวและหลุดออกมาได้ง่ายขึ้น แต่ยาทาจำพวกนี้ก็มีผลข้างเคียงที่อาจทำให้ผิวแห้ง แดงและลอก ไม่สามารถใช้กับสตรีตั้งครรภ์ได้ อีกทั้งการใช้ยากลุ่มนี้ก็ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนัง โดยยี่ห้อที่รู้จักกันดีและได้รับความนิยมอย่างล้นหลามก็คือ เรตินเอ (Retin-A) ครับ ซึ่งจะมีความเข้มข้นตั้งแต่ 0.025%, 0.05% และ 0.1% ยิ่งมีความเข้มข้นสูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งละลายสิวอุดตันได้ดีเท่านั้น แต่ก็ทำให้ระคายเคืองผิวมากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นผู้เริ่มใช้ใหม่ ๆ คุณควรใช้แบบความเข้มข้น 0.025% ไปก่อนครับ หลังการใช้อาจทำให้ผิวหน้าแห้งลอกออกเป็นขุยและทำให้สิวเห่อขึ้นได้ แต่หลังจากใช้ไปสักระยะหนึ่งแล้ว ผิวหน้าของคุณก็ค่อย ๆ ดูสดใสมากขึ้น ไม่มีสิวกวนใจ แถมริ้วรอยตื้น ๆ ยังจางลงอีกด้วย (ภาพ : pantip.com by KhongkwanNK)
แม้ยาชนิดนี้เป็นยาที่ได้รับการแนะนำให้ใช้มากที่สุด แต่ก็พบว่ามีคนแพ้มากกว่ายาตัวอื่นเช่นกัน ปัจจุบันจึงทำให้มีผลิตภัณฑ์เพิ่มเข้ามาอย่าง ทาซาโรทีน (Tazarotene) ยี่ห้อ Tazorac® และ อะดาพาลีน (Adapalene) ยี่ห้อ Differin® ซึ่งยาทาเหล่านี้ถ้าคุณไม่ใจเย็นและใจแข็งในการใช้จริง ๆ ก็อาจทำให้ถอดใจล้มเลิกไปกลางคันได้ เพราะตัวยามันจะเข้าไปทำให้ไขมันที่อุดตันในรูขุมขนดันตัวออกมาจากรูขุมขน เลยทำให้เหมือนจะเป็นสิวเยอะขึ้น (สิวเห่อ) หลายคนจึงรับไม่ได้กับสภาพหน้าของตัวเอง จนเป็นเหตุให้หยุดใช้ยาไปเสียก่อน ยิ่งบางคนที่มีแบคทีเรีย P.acne รออยู่บนผิวเยอะ ก็จะยิ่งทำให้มีอาการอักเสบมากขึ้นเข้าไปใหญ่เลยล่ะ แต่อย่างที่บอกถ้าเราไม่เอามันออก มันก็จะอยู่กับเราตลอดไป ถ้าใครรักษาและอยู่ในช่วงนี้ก็ขอให้ทำใจไว้เลย หากผ่านมันไปได้ในอนาคตใบหน้าอันสดใสก็ไม่ไกลเกินเอื้อมมืออย่างแน่นอน และนอกจากนี้สารสกัดจากวิตามินเอจะช่วยเรื่องสิวแล้ว มันยังช่วยเรื่องริ้วรอยบนผิวหน้าได้อีกด้วย ยิ่งถ้าใช้อย่างต่อเนื่องกันนาน 3 เดือน รูขุมขนจะกระชับขึ้นและสิวลดลงอย่างแน่นอน - เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประเภท AHA และ BHA สำหรับใครที่ไม่สามารถใช้ Retinoids ได้ คุณอาจใช้สารสกัดประเภท AHA (Glycolic acid) และ BHA (Salicylic acid) ก็ได้ ซึ่งยาเหล่านี้จะมีทั้งในรูปแบบโลชั่นและของเหลวให้เลือกใช้ แม้ว่ามันจะให้ผลช้ากว่า แต่ก็มีผลข้างเคียงน้อยกว่าด้วย โดยในส่วนของ AHA นั้นจะทำหน้าที่ช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว เมื่อเรากำจัดมันได้ ก็เหมือนเป็นการป้องกันการเกิดสิวไปได้ในตัว ส่วน BHA นั้นมันจะลงลึกเข้าไปในรูขุมขนเพื่อละลายไขมัน (ลดสิวอุดตันได้ในระดับปานกลาง) คนที่ใช้ BHA เป็นประจำจึงทำให้สิวอุดตันจะถามหาได้ยากมาก แม้ว่าจะไม่สามารถทำให้สิวที่แข็งตัวนั้นหลุดออกมาได้ก็ตาม แต่ก็สามารถทำให้มันอ่อนตัวและเอาออกมาได้โดยง่าย
- ยารับประทานกลุ่ม Retinoids อย่างเช่น Roaccutane, Isotretionoin ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 10 และ 20 mg. (ใช้ตามลักษณะความรุนแรงของอาการ) เป็นยาที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมันในร่างกาย ทำให้หน้าแห้ง หน้ามีความมันน้อยลง และยังลดคอมีโดนที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว เมื่อต่อมไขมันไม่ผลิตไขมัน สิวก็จะไม่เกิด แต่เนื่องจากเป็นยากลุ่มที่มีผลต่อตับอย่างรุนแรง อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ เช่น ตาพล่ามัว มีอาการปวดข้อตามร่างกาย และยานี้ต้องจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น สตรีมีครรภ์ห้ามรับประทานโดยเด็ดขาด
- การลอกหน้าผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peeling) ด้วยการใช้น้ำยาเคมีนำมาทาบนผิวหน้าเพื่อทำให้เกิดการหลุดลอกของเซลล์ผิวหนังชั้นบน ตามมาด้วยการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน โดยสารเคมีที่นิยมนำมาใช้ก็ได้แก่ AHA หรือ Glycolic acid 30-70%, BHA หรือ Salicylic acid 30-50%, TCA หรือ Trichloroacetic acid 10-30%, Phenol (carbolic acid), Jessner’s solution เป็นต้น เพื่อเป็นการช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน ทำให้สิวอุดตันฝ่อตัวและหลุดออกมาได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามการใช้วิธีนี้มักจะได้ผลในระยะเวลาสั้น ๆ คุณอาจต้องทายาร่วมด้วยเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำอีก
- กดสิวอุดตัน อีกหนึ่งวิธีกําจัดสิวอุดตันที่ใช้ได้เฉพาะกับสิวอุดตันหัวเปิดเท่านั้น และควรทำโดยผู้ที่เชี่ยวชาญและมีอุปกรณ์การกดสิวที่มีคุณภาพเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นและหลุมสิวในภายหลัง ส่วนขั้นตอนการทำนั้นแพทย์จะใช้เข็มฆ่าเชื้อจิ้มไปที่หัวสิวเพื่อให้หัวสิวเปิด หลังจากนั้นแพทย์จะใช้ที่กดสิวกดลงไปตรงสิวที่ใช้เข็มจิ้มเอาไว้ โดยให้สิวอยู่ตรงกลางหรืออยู่ในทิศทางที่เราจะกด แล้วค่อย ๆ ออกแรงกดลงไป วิธีนี้จะทำให้สิวอุดตันหลุดออกมาได้โดยง่าย (ภาพ : erk-erk.com)
- การทำไอออนโตหรือโฟโน เป็นการใช้เครื่องมือรักษาสิวอุดตันร่วมกับการใช้เจลวิตามินเอ ซึ่งเครื่องมือประเภทนี้จะช่วยในการผลักยาหรือวิตามินให้ซึมลึกเข้าสู่ผิว ซึ่งวิตามินเอจะช่วยละลายสิวอุดตัน การทำในช่วงแรก ๆ อาจทำให้ผิวหน้าแห้ง ลอกเป็นขุย ทำให้สิวอุดตันหลุดออกมาได้โดยง่าย ระหว่างการรักษาสิวอุดตันที่มีอยู่เดิมอาจจะเห่อขึ้นมาก่อน (แล้วจะหายในภายหลัง) หากทำเป็นประจำหน้าจะใสขึ้นมาก โดยแนะนำให้ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ซึ่งจะเห็นผลได้เร็วกว่าการทายาในกลุ่มวิตามินเอแน่นอน โดยเครื่องไอออนโตจะให้ผลในการผลักวิตามินได้ดีกว่าเครื่องโฟโน แต่ข้อเสียของเครื่องไอออนโตคือ เวลาทำจะรู้สึกช็อตจี๊ด ๆ ที่หน้า ไม่เหมือนเครื่องโฟโนที่ทำแล้วรู้สึกสบาย ส่วนราคาในการทำต่อครั้งก็ประมาณ 200-500 บาท
- การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion – MD) เป็นการผลัดผิวหน้าในส่วนของความลึกระดับผิวหนังกำพร้า ด้วยการพ่นคริสตัลซึ่งทำด้วยผลึกอลูมิเนียมออกไซด์ขนาดเล็ก เพื่อช่วยในการผลัดผิว ผลที่ได้รับก็คือจะทำให้ผิวหนังส่วนที่มีรอยคล้ำ รอยบุ๋มจากแผลเป็นหรือหลุมสิวที่เกิดในชั้นผิวหนังถูกกำจัดออกไป จนเกิดการสร้างผิวหนังขึ้นมาใหม่ วิธีนี้นอกจากจะช่วยลดรอยดำ แผลเป็น และหลุมสิวได้แล้ว ยังช่วยทำให้สิวที่อุดตันหลุดออกมาได้ง่ายขึ้น (แต่วิธีนี้ค่อนข้างจะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ถ้าจะรักษาสิวอุดตันโดยเฉพาะ ก็ไม่แนะนำให้ทำครับ)
- เลเซอร์สิวอุดตัน อย่างการใช้เลเซอร์ CO2 เหมาะสำหรับคนที่เป็นสิวอุดตันจำนวนมาก อยู่ลึก กดออกได้ยาก หรือกดไม่ออกเลย (ถึงขนาดเอาเข็มจิ้มเปิดหัวก็ยังไม่ยอมออก) ซึ่งการกําจัดสิวอุดตันด้วยเลเซอร์นี้จะมีประสิทธิภาพดีมากกับสิวอุดตันที่อยู่ลึก ๆ โดยไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นและไม่มีเลือดออก แต่ต้องทำอยู่โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังนะครับ ระหว่างการทำเลเซอร์อาจมีเจ็บจี๊ดบ้าง แต่ก็อยู่ในระดับที่พอทนได้ครับ
- สูตร BP + AHA สำหรับสูตรนี้ถือเป็นสูตรเร่งรัดสำหรับคนที่มีสิวอุดตันขึ้นก่อนถึงวันสำคัญ เป็นสูตรเร่งด่วนที่จะช่วยทำให้สิวยุบตัวลงได้อย่างรวดเร็ว วิธีการก็คือให้เราใช้ BP มาสู้กับสิวอุดตันเพื่อป้องกันการอักเสบ จากนั้นก็ตามด้วย AHA หรือ BHA ก็ได้ (เพื่อช่วยกำจัดสิ่งสกปรกและละลายไขมันให้ยุบตัวลง) เมื่อลงผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไปแล้ว สิวจะเริ่มแห้งและยุบตัวลง พอมันแห้งเราก็แค่ใช้การแต่งหน้ากลบ โดยเลือกคอนซีลเลอร์ที่ใช้สำหรับกลบรอยสิวโดยเฉพาะ (ห้ามลงเมคอัพตัวอื่นในบริเวณที่เราลงคอนซีลเลอร์) แต่อย่าลืมว่าถ้าเสร็จธุระแล้วก็ต้องรีบล้างเครื่องสำอางออกจากผิวหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้มีสิวเพิ่มขึ้น
- สูตร BP + AHA / BHA + ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเรตินอยด์เป็นสูตรสำเร็จในการรักษาสิวอุดตันอย่างได้ผล โดยเริ่มจากให้คุณใช้ยา BP นำมาทาให้ทั่วหน้าก่อนการล้างหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที (วันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน) แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด (ยาชนิดนี้จะช่วยฆ่าเชื้อ P.acne ลดปริมาณไขมันที่ผิว และช่วยละลายสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขน จึงช่วยลดการอุดตันของต่อมไขมันได้ ประมาณว่าลดการเกิดสิวใหม่) จากนั้นตามด้วยการทา AHA หรือ BHA เพื่อช่วยกำจัดสิ่งสกปรกและละลายไขมันให้อ่อนตัวลง แล้วก็ตามด้วยผลิตภัณฑ์ประเภทเรตินอยด์ เพื่อช่วยละลายสิวอุดตัน (จะเลือกใช้เรตินเอหรือดิฟเฟอรินก็ได้ครับ ตามความเหมาะสม) แถมอีกนิดว่ายาประเภทนี้จะค่อนข้างไวต่อแสง แนะนำว่าถ้าทาเสร็จแล้วก็ให้รีบปิดไฟแล้วรอประมาณ 20 นาที ก่อนจะลงยาตัวต่อไป (แต่ถ้าใจร้อนก็รอให้ยาแห้งพอก็ได้) ในกรณีที่เป็นสิวอักเสบด้วยก็ให้แต้มหัวสิวอักเสบด้วยคลินดามัยซิน แล้วตามด้วยการบำรุงผิว ส่วนตอนกลางวันนั้นก็แค่ใช้บีพีแล้วล้างหน้าตามปกติ ทาครีมบำรุง และตามด้วยครีมกันแดด เป็นอันจบครับ ทำได้ประมาณ 1-3 เดือน รับรองได้เลยว่า หล่อสวยกันทุกคนครับ
- สูตรมะเขือเทศ สำหรับสิวอุดตันที่ไม่มีหัว ถ้าเราไม่พึ่งหมอให้เจาะออกก็คงต้องทำให้ยุบลงเอง ด้วยการใช้สูตรมะเขือเทศซึ่งเป็นสูตรที่ทำได้บ่อย ๆ (มะเขือเทศอุดมไปด้วยวิตามินเอซึ่งมีคุณสมบัติช่วยกำจัดน้ำมันส่วนเกินและทำให้รูขุมขนเล็กลงได้) โดยการนำมะเขือเทศลูกแดง ๆ มาฝานแล้วถูให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออก เพียงเท่านี้สิวอุดตันก็ยุบตัวลง และมีหัวให้เราพอกำจัดมันออกมาได้ (ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้ง หลังทำแล้วหน้าตึงมาก ก็ควรเว้นระยะการทำจากสัปดาห์ละครั้งเป็นสองสัปดาห์หนึ่งครั้งแทน)
- สูตรหอมแดง เป็นสูตรที่ใช้ได้กับทุกสภาพผิว ด้วยการนำหอมแดงมาหั่นเป็นแว่น ๆ บาง ๆ หั่นเสร็จแล้วก็ขยี้หอมแดงแล้วนำมาทาที่หน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก ระหว่างรออาจแสบจนน้ำตาไหลได้ (เวลาทาก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่ทาใกล้ตามากจนเกินไป) แต่ว่าผลที่ได้ก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ เพราะหลังทำเสร็จเจ้าสิวอุดตันจะยุบตัวลง บางหัวก็โผล่ขึ้นมาให้เห็นเป็นหัวดำ ๆ อีกทั้งรอยดำจากการแกะสิวก็ยังจางลงอีกด้วย ส่วนสาเหตุที่หอมแดงสามารถนำมาใช้รักษาสิวได้นั้น ก็เนื่องมาจากหอมแดงนั้นมีสารเพคติน (Pectin) ที่ช่วยในการยับยั้งแบคทีเรีย ที่ให้ผลดีทั้งการทาและการรับประทาน ยิ่งไปกว่านั้นหอมแดงยังช่วยลดความมันส่วนเกินบนใบหน้าได้อีกด้วย
- สูตรเปลือกส้มหรือเปลือกมะนาวผสมโยเกิร์ต ให้คุณใช้เปลือกส้มหรือเปลือกมะนาวที่สับละเอียดแล้วนำมาผสมกับโยเกิร์ต นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก จะสามารถช่วยกำจัดสิวอุดตันออกไปจากใบหน้าได้
- สูตรน้ำผึ้ง อีกหนึ่งสมุนไพรรักษาสิวอุดตัน ให้คุณใช้น้ำผึ้งพอกหน้าสัปดาห์ละ 4 ครั้ง ก่อนพอกควรล้างมือให้สะอาด ในขณะที่พอกให้ใช้มือนวดหน้าแล้ววนไปเรื่อย ๆสัก 3 นาที ก็สามารถช่วยเรื่องสิวอุดตันได้อีกทางหนึ่ง สิวอุดตันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
- ปกติแล้วบริเวณผิวหนังจะมี ต่อมขน (hair follicle)ซึ่งเป็นแหล่งที่กำเนิดเส้นขน และใกล้ๆกับต่อมขนก็จะมีต่อมไขมัน (sebaceous gland) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตไขมัน (sebum) ออกมาผ่านทางท่อต่อมไขมัน (sebaceous duct) ซึ่งจะเชื่อมต่อกับรูขุมขน และจะขับออกสู่ผิวหนังภายนอกต่อไปบริเวณที่มีต่อมไขมันเป็นจำนวนมากได้แก่ บริเวณใบหน้า หนังศีรษะ ส่วนบนของหน้าอก และแผ่นหลัง ซึ่งเราจะสังเกตว่าสิวมักขึ้นบริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะ และพบว่าต่อมไขมันที่บริเวณข้างต้นจะมีขนาดใหญ่ และสามารถถูกกระตุ้นได้ด้วยฮอร์โมนเพศชายโดยทั่วไปเมื่อเราก้าวเข้าสู่วัยรุ่นจะมีสิวเพิ่มขึ้น ก็เนื่องจากในช่วงวัยรุ่นจะมีการสร้างฮอร์โมนแอนโดรเจน (androgen) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการแสดงออกของเพศชายเพิ่มขึ้น แม้ว่าฮอร์โมนนี้จะเกี่ยวกับเพศชายแต่เพศหญิงก็มีการสร้างฮอร์โมนชนิดนี้เช่นกันฮอร์โมนแอนโดรเจนจะกระตุ้นให้มีการเจริญเติบโตของเซลล์ในท่อต่อมไขมันกลายเป็น ขี้ไคลของรูขุมขน และกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตไขมันมากขึ้น ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้ล้วนก่อให้เกิดสิวอุดตันได้ทั้งสิ้น
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะกระตุ้นให้เกิดสิวอุดตัน
- การล้างหน้าหรือสครับ (scrub) ผิวหน้ามากเกินไป จะก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวหน้า ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดสิวอุดตัน
- ผิวหนังที่อับชื้นจากการใช้เครื่องสำอางประเภทให้ความชุ่มชื้น (moisturizer) หรืออากาศที่ร้อนชื้น
- การบีบสิว การล้างหน้าที่รุนแรงเกินไป การใช้สารเคมีเพื่อลอกหน้าที่มีความรุนแรง และการรักษาด้วยเลเซอร์ อาจจะทำให้เกิดการแตกภายในรูขุมขน ซึ่งทำให้เกิดสิวอุดตันได้
- เครื่องสำอางบางชนิดอาจอุดตันรูขุมขน รวมถึงผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่มีความมัน โดยสารบางตัว เช่น ไอโซโพรพิลไมริสเตต (isopropyl myristate) โพรพิลีนไกลคอล (propylene glycol) และสีในเครื่องสำอาง อาจจะกระตุ้นให้เกิดสิวอุดตันได้ ดังนั้นเราจึงควรเลือกเครื่องสำอางที่ระบุว่าไม่ก่อให้เกิดสิวอุดตัน (noncomedogenic) หรืออาจเลือกชนิดปราศจากน้ำมัน (oil free) ก็ได้
- เส้นขนหรือผมที่ไม่สามารถเจริญเติบโตพ้นผิวหนัง ก็ทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมถึงเกิดสิวอักเสบได้เช่นเดียวกัน
- พบว่าผู้ที่สูบบุหรี่จะมีสิวอุดตันมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
- อาหารบางชนิด โดยพบว่าสารฮอร์โมนธรรมชาติที่พบในนมจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างฮอร์โมนแอนโดรเจนได้ ส่วนอาหารที่มีน้ำตาลสูงก็สัมพันธ์กับการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน (insulin) และฮอร์โมนแอนโดรเจน
- เซลล์ผิวหนังถูกกระตุ้นมากขึ้น โดยเกิดจากฤทธิ์ของฮอร์โมน 5-เทสโทสเตอโรน (5-testosterone) หรือฮอร์โมนดีเอชที (DHT) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย
- มีการลดลงของสารไลโนเลเอท (linoleate) ซึ่งเป็นเกลือของกรดไขมันในซีบัม (sebum) หรือไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมัน
- มีการหลั่งสารก่อการอักเสบจากเซลล์ที่อยู่บริเวณต่อมขน ซึ่งเกิดจากการกระตุ้นโดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- สิวอุดตันอาจจะเกิดจากกรดไขมันอิสระ (free fatty acid) ที่ถูกสร้างมาจากแบคทีเรียบนผิวหน้า
ชนิดของสิวอุดตัน
โดยทั่วไปแล้วเราจะจัดสิวอุดตันจัดเป็นสิวที่ไม่อักเสบ (noninflamatory acne) โดยลักษณะของสิวอุดตันอาจจำแนกได้เป็นไมโครโคมีโดน (micromedones)
- เป็นสิวอุดตันที่มองไม่เห็น เนื่องจากยังมีการอุดตันของรูขุมขนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถ้ายังมีการกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตไขมันเพิ่มขึ้น ก็จะมีการสะสมสิ่งอุดตันเพิ่มขึ้น กลายเป็นสิวอุดตันที่เราสามารถสังเกตเห็นได้ โดยสิวประเภทนี้อาจพัฒนาเป็นสิวอักเสบนูนแดง (papule) ได้
สิวหัวขาวหรือสิวหัวปิด (whitehead หรือ closed comedones)
- เป็นสิวอุดตันที่มองเห็นได้ แต่ตัวสิวยังอยู่ใต้ผิวหนัง ซึ่งยังไม่สัมผัสกับสภาพแวดล้อมภายนอก จึงเรียกว่าสิวหัวปิด และสิ่งอุดตันก็ยังเป็นสีขาว จึงเรียกว่าสิวหัวขาว โดยจะพบว่ามากกว่าร้อยละ 75 ของสิวชนิดนี้จะพัฒนาเป็นสิวอักเสบ โดยอาจเกิดจากการเพิ่มจำนวนของเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Propionebacterium acnes (P. acnes)
สิวหัวดำหรือสิวหัวเปิด (blackhead หรือ open comedones)
- จัดเป็นสิวอุดตันที่มองเห็นได้อีกชนิดหนึ่ง แต่ตัวไขมันที่อุดตันอยู่ รวมถึงโปรตีนเคราตินซึ่งเป็นโปรตีนที่พบในผิวหนัง และสิ่งสกปรกอื่นๆที่อุดตันอยู่ เปิดออกสัมผัสกับอากาศภายนอก จึงเรียกว่าสิวหัวเปิด ซึ่งเกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่เรียกว่าปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (oxidation) ทำให้ไขมันและสิ่งอุดตันกลายเป็นสีดำ จึงเป็นที่มาของสิวหัวดำนั่นเอง
มาโครโคมีโดน (macrocomedones)
- เป็นสิวอุดตันที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 2 ถึง 3 มิลลิเมตร
ไจแอนท์โคมีโดน (giant comedones)
- เป็นสิวซิสต์ชนิดหนึ่ง ที่หัวสิวเปิดออกและมีสีดำเหมือนสิวหัวดำ
โซลาร์โคมีโดน (solar comedones)
- เป็นสิวอุดตันที่มักจะพบบริเวณแก้ม และคาง โดยส่วนมากแล้วจะพบในผู้สูงอายุ โดยเชื่อว่าเกิดจากความเสียหายของผิวหนังจากแสงแดด
การป้องกันสิวอุดตัน
การป้องกันสิวอุดตันที่ดีที่สุด คือ การหลีกเลี่ยงปัจจัยส่งเสริมต่างๆ เช่น ไม่บีบสิว หรือแกะสิว ไม่ล้างหน้าบ่อยจนเกินไป หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อความระคายเคือง เลือกเครื่องสำอางที่เหมาะกับสภาพผิว เลือกเครื่องสำอางที่ระบุว่ามีความอ่อนโยน และไม่ก่อให้เกิดสิวอุดตัน (noncomedogenic) รวมถึงเลือกผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่เหมาะสมเช่นกันนอกจากการหลีกเลี่ยงปัจจัยส่งเสริมแล้ว การล้างหน้าให้สะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว การออกกำลังกาย เพิ่มการรับประทานผักและผลไม้ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ป้องกันการเกิดสิวอุดตัน แต่ยังทำให้สุขภาพของเราดีขึ้นอีกด้วยแต่บางปัจจัยเช่น การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนแอนโดรเจน เป็นปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุม ซึ่งการรักษาที่สาเหตุนี้ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์รักษาสิวอุดตันโดยใช้ยา
แพทย์มักจะเลือกใช้ยาชนิดทาภายนอกที่ช่วยเพิ่มการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวโดยเร่งการขจัดออกของเซลล์ผิวเก่า (exfoliation) โดยยาที่เป็นตัวเลือกแรกคือ ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอชนิดทาภายนอก (topical retinoids) นอกจากนี้ยา เบนซอยล์เพอร์ออกไซด์ หรือบีพีโอ (benzoyl peroxide หรือ BPO) และอาซีลาอิค แอซิด (azelaic acid) ก็สามารถใช้ได้เช่นเดียวกันยารักษาสิวอุดตันในกลุ่มกรดวิตามินเอชนิดทาภายนอก (topical retinoids)
ยาในกลุ่มนี้ยับยั้งการเกิดสิวอุดตัน (anticomedogenic) โดยเฉพาะยับยั้งการเกิดสิวอุดตันที่ไม่สามารถมองเห็นได้ คือ ไมโครโคมีโดน (microcomedone) ซึ่งส่งผลลดการเกิดสิวหัวดำ สิวหัวขาว รวมถึงสิวอักเสบได้ ยากลุ่มนี้ยังสามารถละลายสิวอุดตันได้ (comedolytic) และยังพบว่ามีฤทธิ์ลดการอักเสบอ่อนๆยาที่จัดอยู่ในกลุ่มกรดวิตามินเอชนิดทาภายนอก ได้แก่- ยา Tretinoin มีอยู่ในยาทาสิวยี่ห้อ Retin-A®, Stieva-A® และ Retacnyl®
- ยา Isotretinoin สามารถรักษาสิวอุดตันได้เหมือนกับ Tretinoin แต่สามารถลดการสร้างไขมันของต่อมไขมันได้ รวมถึงมีผลข้างเคียงน้อยกว่า ซึ่ง Isotretinoin พบได้ในยาทาสิวยี่ห้อ Isotrex®
- ยา Adapalene เป็นยาที่ถูกพัฒนาเพื่อลดข้อด้อยของยาทั้งสองตัวข้างต้น โดยสามารถลดอาการระคายเคืองลงได้ ลดการสลายตัวของยาเมื่อถูกแสง โดยจำหน่ายในชื่อของ Differin®
วิธีการใช้ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอชนิดทาภายนอก คือ- ทาบางๆทั่วใบหน้าหลังทำความสะอาดผิวหน้าแล้ว ในเวลาเย็นหรือก่อนนอน โดยเริ่มแรกอาจใช้ยาคืนเว้นคืน แล้วค่อยๆเพิ่มยาขึ้นหลังจากใช้ยาไปแล้ว 4 ถึง 6 สัปดาห์
- ถ้าจะใช้ยาร่วมกับยาบีพีโอ ควรใช้ยาบีพีโอในตอนเช้า และทากรดวิตามินเอตอนกลางคืน เนื่องจากการใช้ร่วมกันอาจทำให้กรดวิตามินเอสลายตัวได้
ผลข้างเคียงจากยาในกลุ่มกรดวิตามินเอชนิดทาภายนอก- หลังใช้ยาอาจมีอาการระคายเคืองได้ ผิวหนังแดง แสบ ลอกเป็นขุย โดยเฉพาะเวลาโดนแสงแดด วิธีแก้ปัญหาคือ อาจใช้ครีมกันแดด หรือใช้โลชั่นที่ให้ความชุ่มชื้น
- นอกจากนี้ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอชนิดทาภายนอก อาจมีผลต่อเด็กในครรภ์ ดังนั้นต้องแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งว่าตั้งครรภ์ หรือวางแผนที่จะตั้งครรภ์
ยาเบนซอยล์เพอร์ออกไซด์ หรือ บีพีโอ (benzoyl peroxide หรือ BPO)
ยานี้สามารถยับยั้งการเติบโตของเชื้อ P. acnes ได้ สามารถลดการอักเสบได้ แต่ยาไม่สามารถลดการสร้างสิวอุดตันได้ โดยส่วนมากมักใช้ยานี้ร่วมกับยากลุ่มกรดวิตามินเอชนิดทาภายนอก หรือร่วมกับยาปฏิชีวนะชนิดทาภายนอกวิธีการใช้ยาบีพีโอ- ส่วนใหญ่จะทายานี้ก่อนล้างหน้า แล้วทิ้งไว้ 10 นาที แล้วจึงไปล้างหน้า เมื่อผิวทนต่อยาได้ดีก็อาจจะเพิ่มระยะเวลาทายาให้นานขึ้น
ผลข้างเคียงของยาบีพีโอ ได้แก่- อาการระคายเคืองทางผิวหนัง หน้าแดง แสบ และผิวแห้ง ที่สำคัญยานี้สามารถกัดสีเสื้อผ้าและเกิดรอยด่างบนผ้าได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าสัมผัสที่ตัวยา
ยาอาซีลาอิค แอซิด (Azelaic acid)
ยานี้สามารถหยุดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย P. acnes ได้ รวมถึงมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดการเกิดสิวอุดตัน และสามารถลบรอยด่างจากสิวได้ โดยยานี้มีจัดจำหน่ายในยายี่ห้อ Skinoren®วิธีใช้ยา คือ- ทาบางๆให้ทั่วหน้า วันละ 2 ครั้ง และอาจต้องใช้เวลานานตั้งแต่ 3 ถึง 9 เดือนจึงจะสามารถเห็นผลการรักษาได้
อาการข้างเคียง คือ- ระคายเคืองผิวหนัง เกิดผิวแสบไหม้
รักษาสิวอุดตันด้วยการใช้ธรรมชาติบำบัด
มาดูกันว่า เราจะสามารถรักษาสิวอุดตัน ได้โดยไม่ต้องใช้ยาได้อย่างไรบ้าง คุณก็จะมีหน้าใส ไร้สิว ได้ในแบบธรรมชาติรักษาสิวอุดตันด้วยผงอบเชย (cinnamon Powder)
- มีการศึกษาพบว่าสาร cinnamaldehyde และ proanthocyanidins ซึ่งอยู่ในอบเชย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อที่กว้าง รวมถึงยังฆ่าเชื้อ P. acnes และ S. epidermis ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของสิวอักเสบ
- สาร cinnamaldehyde ยังออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ nitric oxide synthase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้สร้างสาร nitric oxide ซึ่งเป็นสารสำคัญในกระบวนการอักเสบ อีกทั้งยังยังยั้งเอนไซม์ COX-2 ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ผลิตสารก่อการอักเสบต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยป้องกันการอักเสบของสิวอุดตันได้
- อบเชยมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระและสารพิษต่าง ๆ จึงช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับผิวได้
- การใช้ผงอบเชยปรนนิบัติผิวหน้า จะช่วยขจัดไขมันส่วนเกินและเซลล์ผิวหนังชั้นนอกที่ตายแล้ว จึงช่วยลดการอุดตันของรูขุมชน
[สูตรที่ 1] ผงอบเชย กับ น้ำมะนาว- ใช้น้ำมะนาวสด ๆ 1 ช้อนชา ผสมกับผงอบเชย 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน
- น้ำส่วนผสมที่ได้แต้มลงบนสิวอุดตัน 1ดสิวอุดตัน ด้วยผงอบเชยของฟงี่ตายแล้ว จึงช่วยลดการอุดตันของรูขุมชนนส่วนเกิน นกับผิวาสิว ด้
- ทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
- สามารถทำได้ 2 ถึง 3 ครั้งต่อวัน
[สูตรที่ 2] ผงอบเชย กับ น้ำผึ้ง- นำน้ำผึ้งและผงอบเชยอย่างละ 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน
- แต้มส่วนผสมในข้างต้นลงบนสิวอุดตัน
- ทิ้งไว้ทั้งคืน แล้วล้างออกในตอนเช้า
- ทำซ้ำเป็นประจำทุกวัน จนกว่าสิวอุดตันจะดีขึ้น
[สูตรที่ 3] ผงอบเชย น้ำมะนาว และผงขมิ้น- ผสมผงอบเชย 1 ช้อนชา น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และผงขมิ้นเพียงเล็กน้อยเข้าด้วยกัน
- ส่วนส่วนผสมที่ได้ไปล้างทำความสะอาดผิวหน้า ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ๆ
- สามารถใช้ได้เป็นประจำทุกวัน
รักษาสิวอุดตันด้วยพลังของข้าวโอ๊ต
- ข้าวโอ๊ตสามารถขจัดน้ำมันส่วนเกิน รวมถึงช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว จึงช่วยลดการอุดตันที่รูขุมขน อันเป็นสาเหตุของสิวอุดตัน
- ถ้านำข้าวโอ๊ตไปต้มจนสุก จะทำให้มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบเพิ่มขึ้น
- ช่วยทำให้หัวสิวแห้งได้เร็วมากยิ่งขึ้น และยังช่วยป้องกันการเกิดสิวได้
- ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวหน้า
- เป็นแหล่งของวิตามินบี 1, 2, 3, 6 และ 9 ซึ่งจะช่วยเพิ่มการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว
- มีแมกนีเซียม ฟอสฟอรัส แมงกานีส เซเลเนียม และสังกะสี ซึ่งช่วยควบคุมความมันบนใบหน้า
[สูตรที่ 1] ข้าวโอ๊ต น้ำผึ้ง และน้ำมะเขือเทศ- ข้าวโอ๊ต 2 ถึง 4 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมะเขือเทศ 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
- นำส่วนผสมข้างต้นผสมให้เข้ากัน จนกลายเป็นเนื้อเพสต์
- นำเนื้อเพสต์ที่ได้ไปขัดล้างผิวหน้าเบา ๆ โดยเฉพาะบริเวณที่มีสิวอุดตัน
- เมื่อขัดผิวหน้า 10 ถึง 15 นาทีแล้ว ให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาด
[สูตรที่ 2] ข้าวโอ๊ต โยเกิร์ต น้ำมะนาว และน้ำมันมะกอก- ข้าวโอ๊ต 2 ช้อนโต๊ะ
- โยเกิร์ต 3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำผึ้งและน้ำมันมะกอกเล็กน้อย
- ผสมส่วนผสมต่าง ๆ ให้เข้ากัน แล้วนำไปมาส์กใบหน้า
- ทิ้งไว้อย่างน้อย 10 นาทีแล้วล้างออก
สิวอุดตันหายได้ ด้วยตำรับจากน้ำมะนาว
- น้ำมะนาวอุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งสามารถคืนคอลลาเจนให้กับผิวหน้า
- ความเป็นกรดของมะนาว สามารถช่วยขจัดเซลล์ผิวได้ ทำให้ผิวหน้าสดใส
- น้ำมะนาวสามารถขจัดความมันส่วนเกินของผิวหน้า
[สูตรที่ 1] น้ำมะนาว โยเกิร์ต เกลือ และน้ำผึ้ง- นำส่วนผสมข้างต้นอย่างละเท่า ๆ กัน มาผสมจนกลายเป็นเนื้อครีม
- นำส่วนผสมที่ได้ไปสครับผิวหน้าเบา ๆ โดยอาจเน้นจุดที่มีสิวอุดตันมาก เช่น บริเวณจมูก
- หลังจากการขัดแล้ว ให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาด
[สูตรที่ 2] น้ำมะนาว และนม- ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมกับนม 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน
- ส่วนผสมข้างต้นสามารถใช้ล้างหน้าเป็นประจำทุก ๆ วันได้
[สูตรที่ 3] น้ำมะนาว และน้ำมันถั่วลิสง- ใช้น้ำมะนาวและน้ำมันถั่วลิสงอย่างละ 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน
- นำมาทาบนผิวหน้า โดยเฉพาะจุดที่มีสิวอุดตัน
- ทาทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วล้างออกให้สะอาด
[สูตรที่ 4] น้ำมะนาว และน้ำสกัดจากกุหลาบ (rose water)- น้ำสกัดจากดอกกุหลาบมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
- ผสมน้ำมะนาวและน้ำสกัดจากดอกกุหลาบอย่างละเท่า ๆ กัน
- ใช้สำลีก้อนชุบส่วนผสมที่ได้ แล้วทาบริเวณสิว และสิวอุดตัน
- ทิ้งไว้ 15 ถึง 30 นาที แล้วล้างออก
- อาจทำซ้ำวันละ 1 ถึง 2 ครั้งเพื่อประสิทธิภาพที่ดี
[สูตรที่ 5] น้ำมะนาว และโยเกิร์ต- ผสมน้ำมะนาว 2 ส่วน เข้ากับโยเกิร์ต 1 ส่วน
- ทาบริเวณที่มีสิว แล้วทิ้งไว้ 15 ถึง 20 นาที
- ล้างออกด้วยน้ำเย็น
[สูตรที่ 6] น้ำมะนาว และเกลือ- นำน้ำมะนาวผสมกับเกลือแกงให้ได้เนื้อเพสต์
- นำไปขัดบริเวณสิวอุดตัน 30 ถึง 45 วินาที โดยขัดในลักษณะหมุนวน
- เมื่อขัดแล้ว ให้ทิ้งไว้ 5 ถึง 10 นาที
- ล้างออกด้วยน้ำอุ่น แล้วทาครีมบำรุงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
- ทำซ้ำสัปดาห์ละ 1 ถึง 2 ครั้ง
[สูตรที่ 7] โทนเนอร์มะนาว- นำน้ำมะนาว 1/4 ถ้วย (60 มิลลิลิตร) ผสมกับน้ำสะอาด 1/4 ถ้วยเช่นกัน
- เมื่อผสมจนเข้ากันแล้ว ให้เก็บในขวดแก้ว แล้วแช่ตู้เย็นทิ้งไว้ 1 เดือน
- เมื่อครบกำหนดแล้ว ให้นำส่วนผสมที่ได้ทาบริเวณที่เกิดสิวเป็นประจำ
[สูตรที่ 8] สครับเปลือกมะนาว- นำเปลือกมะนาวไปตากแดดจนแห้ง
- ให้นำเปลือกมะนาวที่แห้งแล้วมาบดให้ละเอียด
- เติมน้ำสะอาดลงไปในผงเปลือกมะนาว ผสมกันให้ได้เพสต์
- แต้มลงบนสิว แล้วทิ้งไว้ 5 นาที
- ล้างออกด้วยน้ำอุ่น สามารถทำได้ 1 ถึง 2 ครั้งต่อสัปดาห์
ขมิ้นชัน (turmeric) สุดยอดสมุนไพรรักษาสิวอุดตัน
- สารสำคัญที่พบได้ในขมิ้นชัน คือ curcumin ซึ่งมีสรรพคุณทางสมุนไพรหลายประการ
- สาร curcumin มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย สามารถลดจำนวนเชื้อ acnes ในหลอดทดลองได้ร้อยละ 50 ถึง 96 ซึ่งขึ้นกับความเข้มข้นของสาร curcumin ที่ใช้
- ขมิ้นมีสรรพคุณในการต่อต้านอนุมูลอิสระและสารพิษ ช่วยปกป้องโครงสร้างของผิวหนัง จึงช่วยป้องกันริ้วรอยก่อนวัย นอกจากนี้สาร curcumin ยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบอีกด้วย
[สูตรที่ 1] ผงขมิ้นชัน และน้ำมะนาว- ใช้ผงขมิ้นชันและน้ำมะนาวอย่างละเท่า ๆ กัน
- ผสมส่วนผสมทั้งสองให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จนกลายเป็นเนื้อเพสต์ข้น
- นำเพสต์ที่ได้ไปแต้มที่สิวอุดตัน หรืออาจพอกทั่วทั้งใบหน้า
- ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด หลังพอกทิ้งไว้ 20 ถึง 30 นาที
[สูตรที่ 2] ขมิ้นสด ดินสองพอง และมะนาว- ขมิ้นสดที่ล้างสะอาดจำนวนเล็กน้อย
- ดินสองพอง 3 ก้อน
- มะนาว 1 ผล คั้นเอาแต่น้ำ
- น้ำส่วนผสมทั้ง 3 ชนิด ปั่นรวมกันในเครื่องปั่นให้ละเอียด จนได้เนื้อครีมข้น
- นำเนื้อครีมในข้างต้นมามาส์กหน้าทิ้งไว้ 20 นาที
- ล้างออกให้สะอาด อาจทำซ้ำได้ 2 ถึง 3 ครั้งต่อสัปดาห์
[สูตรที่ 3] ผงขมิ้น และนมสด- ใช้ผงขมิ้นและนมสดเท่า ๆ กัน ผสมจนได้เนื้อครีมข้น
- นำไปแต้มที่สิวอุดตัน หรือมาส์กทั่วผิวหน้าก็ได้
- ทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
[สูตรที่ 4] ผงขมิ้น และน้ำผึ้ง- ผสมผงขมิ้นและน้ำผึ้งอย่างละเท่า ๆ กัน
- เมื่อผสมเข้ากันแล้ว ทำนำมาขัดที่ผิวหน้าเบา ๆ
- เมื่อขัดเสร็จแล้ว ให้มาส์กต่อ 5 นาที แล้วล้างออก
[สูตรที่ 5] น้ำขมิ้นสด นมสด และดินสอพอง- หั่นขมิ้นชันเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำไปตำให้แหลก เติมน้ำเล็กน้อย แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง
- บดดินสอพอง 5 ก้อน ให้แตกละเอียด
- ผสมน้ำขมิ้น 1 ช้อนชา นมสด 1 ช้อนชา และดินสอพองที่บดแล้ว เข้าด้วยกันจนได้เนื้อเพสต์
- นำส่วนผสมไปพอกหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก
รักษาสิวอุดตัน ด้วยพลังจากไข่ขาว
- ไข่ขาวสามารถช่วยดูดซับไขมันส่วนเกินที่ผิวหน้า รวมถึงสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่ตกค้างอยู่
- มีฤทธิ์ฝาดสมานอ่อน ๆ จึงช่วยลดการเกิดสิวได้
- ช่วยลดขนาดรูขุมขน จึงช่วยลดการสะสมของสิ่งอุดตันต่าง ๆ
[สูตรที่ 1] ไข่ขาว และน้ำมะนาว- ผสมไข่ขาวกับน้ำมะนาวเข้าด้วยกัน
- นำไปพอกที่ผิวหน้า ควรระมัดระวังอย่าให้สัมผัสกับดวงตา
- ทิ้งไว้ 15 ถึง 20 นาที หรือจนแห้ง ล้างออกด้วยน้ำอุ่นก่อน แล้วจึงตามด้วยน้ำเย็นเพื่อปิดรูขุมขน
- ในกรณีที่ผิวหน้าแห้งเกินไป อาจบำรุงผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ให้ความชุ่มชื้น
[สูตรที่ 2] ไข่ขาว เบคกิ้งโซดา น้ำมะนาว และโยเกิร์ต- เบคกิ้งโซดา 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมะนาวคั้นสด ๆ 2 ช้อนโต๊ะ
- โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 4 ช้อนโต๊ะ
- ไข่ขาว 4 ฟอง
- ผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน
- แต้มลงบนบริเวณสิวอุดตัน
- ทิ้งไว้ 20 ถึง 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
[สูตรที่ 3] ไข่ขาว น้ำมะนาว และน้ำผึ้ง- ผสมไข่ขาว น้ำมะนาวและน้ำผึ้งอย่างละ 1 ช้อนโต๊ะเข้าด้วยกัน
- นำไปสครับเบา ๆ บนผิวหน้า จากนั้นทิ้งไว้ 10 ถึง 15 นาที จนแห้ง
- ล้างออกด้วยน้ำอุ่น แล้วบำรุงผิวหน้าด้วยเครื่องสำอางให้ความชุ่มชื้น
[สูตรที่ 4] ไข่ขาว น้ำมันมะกอก และข้าวโอ๊ตต้มสุก- ข้าวโอ๊ตต้มสุก ½ ถ้วย (มีฤทธิ์ลดการอักเสบ)
- น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา
- ไข่ขาว 1 ฟอง
- ผสมเข้าด้วยกัน แล้วนำไปพอกบริเวณที่มีสิวอุดตัน
- พอกทิ้งไว้ 30 นาที แล้วล้างออก
[สูตรที่ 5] ไข่ขาว ข้าวโอ๊ต และน้ำผึ้ง- นำข้าวโอ๊ต (ดิบ) และน้ำผึ้งอย่างละ 1 ช้อนชา ผสมลงในไข่ขาว 1 ฟอง
- นำไปทาบริเวณสิวอุดตัน
- ทิ้งไว้ 20 ถึง 25 นาที แล้วล้างออก
[สูตรที่ 6] ไข่ขาว และแตงกวา- ใช้ไข่ขาว 1 ฟอง และแตงกวาหั่นชิ้นเล็ก ๆ นำไปปั่นด้วยเครื่องปั่นไฟฟ้าให้เข้ากัน
- แต้มส่วนผสมที่ได้บริเวณสิวอุดตัน
- ทิ้งไว้ 15 ถึง 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
- อาจทำซ้ำได้ 2 ครั้งต่อสัปดาห์
[สูตรที่ 7] ไข่ขาว และน้ำมันมะกอก- ผสมไข่ขาว 1 ฟองกับน้ำมันมะกอกแบบ extra virgin 1 ช้อนชา
- นำไปทาบริเวณสิวอุดตัน
- ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
รักษาสิวอุดตัน ด้วยสครับน้ำตาลทราย (sugar scrub)
- น้ำตาลทรายสามารถช่วยขจัดสิ่งสกปรกบนใบหน้า รวมถึงเซลล์ผิวที่ตายแล้ว จึงช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของสิวอุดตัน
[สูตรที่ 1] น้ำตาลทราย น้ำมันมะกอก น้ำมันหอมระเหย และทีทรีออยล์ (tea tree oil)- เตรียม น้ำตาล 4 ช้อนโต๊ะ น้ำมันมะกอก 1 ถึง 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่คุณชื่นชอบ และ tea tree oil
- ผสมน้ำตาลกับน้ำมันให้เข้ากันก่อน
- เติมน้ำมันหอมระเหย 2 ถึง 3 หยดลงไป จากนั้นผสมให้เข้ากัน
- เติม tea tree oil 1 หยด แล้วผสมให้เข้ากับส่วนผสมอื่น ๆ
- เมื่อต้องการใช้ ให้นำน้ำสะอาดพรมที่ผิวหน้าให้เปียกเล็กน้อย
- แต้มสครับลงไปที่ผิวหน้า จากนั้นให้ขัดผิวหน้าด้วยนิ้วที่ไม่ถนัดเบา ๆ
- ควรขัดผิวหน้าในลักษณะหมุนวน
- ทำซ้ำ ๆ ให้ทั่วผิวหน้า แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
- ไม่ควรทำซ้ำทุกวัน เพราะอาจทำให้ผิวหน้าแห้ง แนะนำให้ทำสัปดาห์ละ 2 ถึง 3 ครั้ง
[สูตรที่ 2] น้ำตาลทรายแดง และน้ำมะนาว- ผสมน้ำมะนาวกับนำตาลทรายแดง 1 ช้อนโต๊ะ
- เมื่อผสมจนเข้ากันแล้ว ให้นำมานวดที่ผิวหน้าเบา ๆ
- ล้างออกด้วยน้ำสะอาด ตามด้วยครีมบำรุง
- ทำซ้ำบ่อย ๆ เพื่อผลลัพธ์ที่ดี
รักษาสิวอุดตัน ด้วยเบคกิ้งโซดา (baking soda)
เบคกิ้งโซดาเป็นอีกหนึ่งวิธีที่นิยมใช้รักษาสิวอุดตัน มีฤทธิ์ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ช่วยขจัดความมันส่วนเกิน ซึ่งกันขัดผิวหน้าด้วยเบคกิ้งโซด้า จะช่วยเปิดรูขุมขนที่อุดตัน จึงทำให้เบคกิ้งโซดาสามารถป้องกันและรักษาสิวอุดตันได้[สูตรที่ 1] เบคกิ้งโซดาสครับ- เตรียมเบคกิ้งโซดา 1 ถึง 2 ช้อนโต๊ะ
- นำน้ำสะอาดผสมกับเบคกิ้งโซดาจนได้เนื้อครีมข้น
- นำเนื้อครีมไปขัดผิวหน้าเบา ๆ ในลักษณะที่หมุนวน
- เมื่อขัดทั่วทั้งผิวหน้าแล้ว ให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาด
- ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อคืนความชุ่มชื้นให้ผิว
- เบคกิ้งโซดาอาจทำให้ผิวหน้าแห้งได้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้บ่อย ๆ ถ้าผิวมันอาจทำซ้ำได้ 1 ถึง 2 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ในกรณีที่ผิวแห้ง ควรเว้นระยะห่างต่อครั้ง 10 ถึง 15 วัน
[สูตรที่ 2] เบคกิ้งโซดา และน้ำมะนาว- ผสมน้ำมะนาวและเบคกิ้งโซดาอย่างละ 1 ช้อนชา เข้าด้วยกัน
- นำส่วนผสมไปขัดผิวหน้าอย่างนุ่มนวล
- ล้างออกด้วยน้ำเปล่า สามารถทำซ้ำได้ 2 ถึง 3 ครั้งต่อสัปดาห์
รักษาสิวอุดตัน ด้วยแอปเปิ้ลไซเดอร์ (apple cider vinegar)
แอปเปิ้ลไซเดอร์ หรือน้ำสมสายชูที่ได้จากการหมักแอปเปิ้ล มีฤทธิ์เป็นกรด สามารถใช้กำจัดสิวอุดตันได้อย่างดีเยี่ยม[สูตรที่ 1] แอปเปิ้ลไซเดอร์ และใบมินต์- น้ำแอปเปิ้ลไวเดอร์ 3 ช้อนโต๊ะ
- ใบมินต์ (ในเมืองไทย พืชตระกูลมินต์ที่หาง่าย คือ สาระแหน่)
- นำใบมินต์มาบดให้ละเอียด ตวงให้ได้ 3 ช้อนโต๊ะ แล้วนำใบมินต์ใส่ลงในน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์
- ให้นำส่วนผสมที่ได้ ใส่ในขวดแก้ว ปิดฝาให้สนิท แล้วเก็บในที่มืดและเย็นเป็นเวลา 1 สัปดาห์
- เมื่อครบ 1 สัปดาห์แล้ว ให้เติมน้ำลงไป 1 ถ้วย แล้วเก็บไว้ต่ออีก 1 สัปดาห์
- เมื่อครบกำหนดแล้ว ก็สามารถนำส่วนผสมดังกล่าวมาใช้ได้ทันที
- นำชำลีก้อนที่จุ่มลงในส่วนผสมให้ชุ่ม แล้วไปทาบนผิวหน้าก่อนนอน
- ทิ้งไว้ทั้งคืน แล้วล้างออกในตอนเช้า
- น้ำส้มแอปเปิ้ลมีความเป็นกรด ควรเจือจางก่อนใช้
- ถ้ามีผิวที่แห้งมาก ไม่ควรใช้แอปเปิ้ลไซเดอร์มากเกินไป และไม่ควรทิ้งไว้ข้ามคืน
- ถ้าผิวแพ้ง่าย ไม่ควรพอกทิ้งไว้ข้ามคืน ควรทาแล้วทิ้งไว้ 20 ถึง 30 นาทีแล้วล้างออก
อย่าลืมว่าวิธีธรรมชาติบำบัดในข้างต้น เป็นวิธีที่ค้นพบแล้วมีกันบอกต่อกันในกลุ่มคนที่เป็นสิวอุดตัน จึงทำให้บางคนทำตามแล้วได้ผล บางคนก็ไม่ได้ผล ดังนั้นอย่าตกใจหรือเครียดว่าทำไมทำแล้วไม่ได้ ทำแล้วไม่เป็นเหมือนคนอื่นนอกจากนี้ยังต้องระวังและสังเกตอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นได้ ต้องคอยดูการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง เช่น มีผื่น มีผด มีรอยแดง แสดงว่าเราอาจแพ้ส่วนผสมนั้นๆ ถ้ามีอาการแบบนี้แล้วล่ะก็ควรหยุดวิธีนั้นทันที และสังเกตอาการ ถ้าเป็นมากขึ้นควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถ้ารักษาสิวอุดตันโดยใช้วิธีทางธรรมชาติแล้วไม่ได้ผล อาจมีความจำเป็นที่ต้องไปพบแพทย์ หรือรับคำปรึกษาจากเภสัชกร เพราะบางครั้งอาจจะต้องรักษาโดยใช้ยา ซึ่งยาที่ใช้ก็มีหลายตัว แต่ละตัวก็ให้ฤทธิ์ที่แตกต่างกัน ผลของยาในแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน และการปรึกษาแพทย์และเภสัชกรทำให้เราได้ใช้ยาได้อย่างปลอดภัย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น