จากหนุ่มส่งเอกสารมาขายหมูทอดจนร่ำรวย

อีกหนึ่งเรื่องราวของคนทำงานที่ลาออกมาขายหมูทอด

   คงจะทำใจลำบากสำหรับใครหลายๆคน หากจะต้องทิ้งหน้าที่การงานออกมาค้าขาย ทั้งๆที่ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใดในที่ทำงาน

   อาจคงเป็นเพราะว่าเรานั้นร่ำเรียนมา จะสูงหรือไม่สูงก็ตามที ทำให้เราสั่งสม ego ของเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กอปรกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่เพียรบอกกับเราว่าให้เรียนเยอะๆ ให้เรียนสูงๆ จะได้มีงานมีการทำ ไม่ลำบากเหมือนพ่อแม่เหมือนอย่างทุกวันนี้

   คำพูดดังกล่าวอาจยังคงใช้ได้ผล หากสังคมไทยไม่ถูกบิดเบือนไปจากระบบเศรษฐกิจแบบที่เรียกว่าทุนนิยมเสรี ที่ผมมักจะบอกกับเพื่อนๆเสมอว่า ไอ้ระบบดังกล่าวก็คือ ระบบที่เรียกว่า มือใครยาวสาวได้สาวเอา โดยคนที่มีอำนาจเงินอยู่แล้วสามารถสกัดกั้นไม่ให้ผู้ประกอบการใหม่เข้าไปได้ ดังนั้นคนอย่างเราๆทีจบมาก็จะกลายเป็นลูกกระจ๊อกของเขาไปเรื่อยๆ ไอ้ครั้นที่จะไต่เต้าเป็นผู้บริหารระดับสูงก็คงยากเต็มที เพราะเขาได้วางลูกหลานและคนไว้ใจของเขาไว้แล้ว ซึ่งอันนี้ก็เป็นความจริงและก็ไม่แปลกไม่ว่าใครก็คงไม่อยากให้คนอื่นมาดูแลกิจการของตนเองหรอก ดังนั้นผมเชื่อว่าถ้าหากเรายังเชื่อและสอนให้ลูกหลานของเราเรียนเพียงอย่างเดียวเพื่อออกมาทำงานเป็นลูกจ้างเค้า โดยไม่ได้สอนให้รู้จักนำความรู้เหล่านั้นมาพัฒนาต่อเติมเพื่อเป็นเจ้าของเองแล้วหล่ะก็ ลูกหลานอย่างเราๆท่านก็คงจะต้องโดนกดเงินเดือน ได้รับความเครียดจากการทำงน ระดับคลอเรสโตรอลพุ่งสูง ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ไม่ได้ต่างอะไรเลยกับผู้ที่สูบบุหรี่ เป็นการเติมสารพิษเข้าไปเรื่อยๆในขณะที่ร่างกายยังแข็งแรง อาการเลยยังไม่ออกจะรู้ตัวอีกทีก็สายเสียแล้ว

   ผมเป็นลูกค้าค่อนข้างจะประจำของชายคนหนึ่ง ซึ่งขายหมูทอดอยู่ ก่อนหน้านั้นเขาเป็น messenger ที่บริษัทแห่งหนี่ง ทำงานที่ดังกล่าวมาเป็นเวลา 12 ปี จึงตัดสินใจลาออก โดยไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด ผมถามว่า แล้วเค้าคิดยังไงถึงลาออก วันหนึ่งผมกลับไปบ้านเยี่ยมแม่ที่ลำปาง เห็นแม่ขายหมูทอดแล้วขายดีก็เลยลองกลับมาทำดู” เค้าตอบ

   ผมไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดทำให้เขากล้าตัดสินใจลาออกและลองมาทำอาชีพนี้ดู ผมถามเขาไปเรื่อยๆแต่ดูเหมือนเขาไม่อยากจะบอกข้อมูลผมสักเท่าไหร่ทั้งๆที่ผมเลือกช่วงที่ไม่มีคนแล้วก็ตามที แต่ด้วยความอยากรู้ทำให้ผมได้ข้อมูลมาบางส่วนและพอที่จะนำมาคำนวณให้เห็นภาพกันซักหน่อย ว่าผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่งยืนขายหมูทอดในรถเข็น แบบที่บรีสแจกให้เพื่อเอาไปทำมาหากิน ในนั้นก็มีหม้อคล้ายๆแบบตาหัวม้าลายใส่น้ำมันเพื่อทอดหมูและซี่โครงหมู มีที่ช้อนหมูเพื่อเอาขึ้นมาจากหม้อ มีกระบะหนึ่งกระบะเพื่อใช้ใส่หมูหลังจากทอดเสร็จแล้ว และก็คงมีวัตถุดิบใส่อยู่ใต้ตู้รถเข็น

   เขาไม่ได้สักแต่ขาย แต่เค้าหาที่ขายเพื่อที่จะทำให้เค้าขายดีด้วยเช่นกัน วันธรรมดาจันทร์ถึงศุกร์ตอนบ่ายสามโมครึ่งขายเด็กนักเรียนผู้ปกครองที่ รร ราชบพิธ เสร็จจากนั้นเขาย้ายไปขายต่อที่ปากคลองตลาด ผมถามว่า ปากคลองออกกว้างใหญ่ เค้าบอกว่าช่วงแรกๆเค้าก็เข็นไปขายเพื่อให้คนรู้จัก สักพักหนึ่งเค้าก็บอกคนเหล่านั้นว่าเค้าจะมาตั้งขายที่ สน คนก็ตามมาซื้อกัน ด้วยเพราะว่าตอนกลางคืนไม่ค่อยมีของขายและการกินหมูทอดก็เป็นอะไรที่ง่ายดี สามารถให้คนไปซื้อและมากินที่ร้านและยังขายของต่อไปได้อีก

   ที่นี้อยากรู้แล้วซิว่าเค้ามีรายได้อย่างไร วันๆหนึ่งเค้าจะขายหมูตกเเฉลี่ยวันละ 50 กิโล ก็อย่างที่บอกไปข้างต้นการลงทุนไม่เห็นจะมีอะไรเลย ผมทึกทักเอาว่า ค่าหมูต่อกิโลบวกน้ำมันบวกแก๊ส ให้ตกโลละ 100บาทเลยละกัน ก็ตกเป็นเงินต้นทุนต่อวัน 5,000 บาท เค้าขายทุกวัน วันเสาร์อาทิตย์ย้ายมาขายแถวคลองถม ดังนั้นหนึ่งเดือนขาย 30 วัน ตกเป็นค่าวัตถุดิบอย่างเดียว ถึงเดือนละ 150,000 บาท โอ้แม่เจ้า ค่าวัตุดิบอย่างเดียวมากกว่า เงินเดือนตั้งหลายเดือน

   เค้าขายขีดละ 20 บาท หมู โลมี 10 ขีด ดังนั้นหมู  โล ขายได้ 200บาท หมู 50 โลขายได้ 10,000 บาทต่อวัน ขาย 30 วันก็คิดเป็นเงิน300,000 บาท ต่อเดือน ตกกำไรต่อเดือน 150,000 บาท นี่ยังไมีรวมรายได้จากการขายข้าวเหนียวด้วยนะ

   ดังนั้นคุณเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง อย่าพยายามใช้ego ที่ค่อนข้าง ก้าวร้าวกับพวกพ่อค้าแม่ขาย เขาไม่เคยดูถูกใครก้มหน้าก้มตาขายของ ทั้งๆที่เค้ามีอันจะกินและไม่มีความเครียดเฉกเช่นเดียวกันกับคุณ

   และนี่คืออีก ตัวอย่างที่อยากสื่ออยากบอกให้รู้ว่า ยังมีหนทางที่จะทำใหมนูษย์เงินเดือนเช่นเรา หลุดบ่วงหายนะ แถมยังมีชีวิตที่ดีอีกด้วย โชคดครับ 

ความคิดเห็น